ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก การหาเวลา “ปลีกวิเวก” จากโลกดิจิทัลจึงกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการพักผ่อนสมอง ลดความเครียด และหันมาใส่ใจกับกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ การอ่านหนังสือ หรือการใช้เวลากับธรรมชาติ การ “Unplugged Time Management” จึงเป็นมากกว่าแค่การลดการใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างสมดุลให้กับชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย เพราะเมื่อเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เราก็จะสามารถกลับมาเผชิญหน้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างมีสติและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์มากขึ้นฉันเองก็เคยลองทำตามเทรนด์นี้ดูบ้างแล้ว และบอกเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าประทับใจมากๆ รู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังให้ตัวเองใหม่ แถมยังได้ค้นพบกิจกรรมใหม่ๆ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุขมากยิ่งขึ้นอีกด้วยเอาล่ะค่ะ!
เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงเทรนด์การจัดการเวลาแบบ Unplugged Time Management อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น เราจะไปเจาะลึกถึงรายละเอียดต่างๆ พร้อมทั้งเทคนิคและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย ไปดูกันเลยค่ะว่า Unplugged Time Management คืออะไรและทำไมถึงสำคัญกับชีวิตของเราในยุคดิจิทัลนี้ มาร่วมค้นพบความสุขและความสงบในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กันนะคะ!
พักผ่อนอย่างมีสไตล์: เทรนด์ Unplugged Time Management ที่คุณต้องรู้!ทำไมต้อง Unplugged?เราอยู่ในยุคที่สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ แต่เคยสังเกตไหมว่ายิ่งเราเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์มากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้าและเครียดมากขึ้นเท่านั้น?
นั่นเป็นเพราะว่าสมองของเราต้องรับข้อมูลจำนวนมหาศาลตลอดเวลา จนทำให้เกิดอาการ “Information Overload” ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงานของเราจากสถิติพบว่า คนส่วนใหญ่ใช้เวลาเฉลี่ยวันละหลายชั่วโมงไปกับการใช้งานสมาร์ทโฟน ซึ่งเวลาเหล่านี้สามารถนำไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจได้มากมาย การ Unplugged จึงเป็นการ “ตัดขาด” จากโลกดิจิทัลชั่วคราว เพื่อให้สมองได้พักผ่อนและฟื้นฟูอย่างเต็มที่Unplugged Time Management คืออะไร?Unplugged Time Management คือการบริหารจัดการเวลาโดยการลดการใช้เทคโนโลยีและหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัล เช่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ การทำอาหาร การพบปะเพื่อนฝูง หรือการใช้เวลากับครอบครัว จุดประสงค์หลักของการ Unplugged Time Management คือการสร้างสมดุลให้กับชีวิต ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเทคนิคและเคล็ดลับการ Unplugged Time Management* กำหนดเวลา Unplugged: เริ่มจากการกำหนดเวลาที่คุณจะ “ตัดขาด” จากโลกดิจิทัล อาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เช่น 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมงต่อวัน หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น เช่น 1 วันต่อสัปดาห์* สร้างพื้นที่ Unplugged: กำหนดพื้นที่ในบ้านของคุณให้เป็น “พื้นที่ปลอดเทคโนโลยี” เช่น ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น เพื่อให้คุณสามารถพักผ่อนและผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่* หากิจกรรม Unplugged: ค้นหากิจกรรมที่คุณชื่นชอบและไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น การอ่านหนังสือ การทำสวน การวาดรูป หรือการเล่นดนตรี* แจ้งให้คนอื่นทราบ: บอกให้เพื่อนฝูงและครอบครัวของคุณทราบว่าคุณกำลัง Unplugged เพื่อให้พวกเขาไม่รบกวนคุณในช่วงเวลาดังกล่าว* ใช้แอปพลิเคชันช่วย: มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยให้คุณสามารถจำกัดการใช้งานโทรศัพท์มือถือและ Social Media ได้อนาคตของ Unplugged Time Managementในอนาคต เราคาดว่าจะได้เห็นเทรนด์ Unplugged Time Management ที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตและสร้างสมดุลให้กับชีวิต นอกจากนี้ เทคโนโลยีเองก็อาจมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการ Unplugged เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้คนสามารถจำกัดการใช้งานโทรศัพท์มือถือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นฉันเองก็เชื่อว่าการ Unplugged Time Management ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เป็นแนวคิดที่ยั่งยืนและมีความสำคัญต่อชีวิตของเราในยุคดิจิทัลนี้ การรู้จัก “พัก” จากโลกออนไลน์บ้าง จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนUnplugged Time Management กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทยและทั่วโลก นักท่องเที่ยวหลายคนมองหาการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แค่การพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการท่องเที่ยวที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิต การ Unplugged Time Management สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อย่างลงตัวลองจินตนาการถึงการเดินทางไปพักผ่อนในสถานที่ที่เงียบสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ที่ซึ่งคุณสามารถตัดขาดจากโลกดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะได้ใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การเล่นโยคะ การเดินป่า หรือการนวดสปา การ Unplugged ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวจะช่วยให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และกลับมาพร้อมกับพลังงานใหม่ๆและนี่ก็คือเรื่องราวของเทรนด์ Unplugged Time Management ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณได้เข้าใจถึงความสำคัญของการ “พัก” จากโลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้นนะคะ ลองนำเทคนิคและเคล็ดลับที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดู แล้วคุณจะพบว่าชีวิตมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ!
เอาล่ะค่ะ! สำหรับใครที่อยากจะลองเริ่มต้น Unplugged Time Management อย่างจริงจัง วันนี้ฉันมีตัวช่วยดีๆ มาแนะนำ นั่นก็คือ… แอปพลิเคชันช่วย Unplugged ที่คุณต้องมี!* Forest: แอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณมีสมาธิในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ โดยการ “ปลูกต้นไม้” หากคุณออกจากแอปพลิเคชัน ต้นไม้ก็จะตาย* Freedom: แอปพลิเคชันที่ช่วยบล็อกเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่คุณต้องการหลีกเลี่ยง* Flipd: แอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณตั้งเวลา Unplugged และติดตามความคืบหน้าลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเหล่านี้มาใช้ดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่าการ Unplugged นั้นง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย!
วันนี้ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า จะมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังอีก อย่าลืมติดตามกันนะคะ! เชื่อมั่นได้เลยว่าข้อมูลทั้งหมดนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเวลาของคุณอย่างแน่นอน!
ปลดปล่อยใจไปกับ “การพักร้อนดิจิทัล”: ชีวิตดี๊ดีที่ไม่มีหน้าจอ
1. ทำไมต้องพักร้อนดิจิทัล?
การพักร้อนดิจิทัล หรือ Digital Detox ไม่ใช่แค่เทรนด์ฮิต แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีรุกคืบเข้ามาในทุกอณูของชีวิตเรา ลองนึกภาพว่าคุณตื่นเช้ามาก็คว้ามือถือ เปิดแอปฯ เช็กข่าวสาร อัปเดตโซเชียลมีเดีย ตอบอีเมล เล่นเกมส์ ดูซีรีส์ วนลูปไปทั้งวัน จนกระทั่งเข้านอน สมองของคุณแทบไม่ได้พักเลย!
การพักร้อนดิจิทัลจึงเป็นการ “รีเซ็ต” สมอง ให้กลับมาสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
2. ผลเสียของการติดหน้าจอที่มองข้ามไม่ได้
- ปวดตา ปวดหัว นอนไม่หลับ: แสงสีฟ้าจากหน้าจอทำลายการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ทำให้วงจรการนอนหลับผิดปกติ
- เครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า: การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบนโซเชียลมีเดีย ทำให้รู้สึกด้อยค่าและไม่พอใจในตัวเอง
- สมาธิสั้น ความจำแย่: การรับข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ทำให้สมองทำงานหนักเกินไป และส่งผลต่อความสามารถในการจดจำ
- เสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง: การหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอ ทำให้ละเลยคนใกล้ชิด และขาดปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริง
ค้นพบกิจกรรมสุดปัง: เติมเต็มชีวิตให้ห่างไกลหน้าจอ
1. กีฬาและการออกกำลังกาย: ปลุกพลังให้ร่างกายแข็งแรง
การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขอีกด้วย ลองหากิจกรรมที่คุณชื่นชอบ เช่น วิ่ง โยคะ ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก แล้วจัดตารางให้สม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
2. ศิลปะและงานฝีมือ: ปลดปล่อยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
การทำงานศิลปะและงานฝีมือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คุณได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ ลองวาดรูป ระบายสี ปั้นดิน ทำเครื่องประดับ หรือถักโครเชต์ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณผ่อนคลาย ลดความเครียด และเพิ่มความภูมิใจในตัวเอง
3. อ่านหนังสือ: เปิดโลกกว้างและความรู้ใหม่ๆ
การอ่านหนังสือเป็นการเดินทางที่แสนวิเศษ ที่คุณสามารถไปได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องลุกจากเก้าอี้ ลองหาหนังสือที่คุณสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนิยาย เรื่องสั้น สารคดี หรือหนังสือพัฒนาตนเอง แล้วดื่มด่ำไปกับเรื่องราวเหล่านั้น การอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความคิด และจินตนาการของคุณ
เนรมิต “พื้นที่ปลอดดิจิทัล”: สร้างโอเอซิสแห่งความสงบในบ้าน
1. ห้องนอน: สวรรค์แห่งการพักผ่อน
ห้องนอนควรเป็นสถานที่ที่สงบเงียบและปลอดจากสิ่งรบกวน จัดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม และเลือกเครื่องนอนที่สบาย เพื่อให้คุณสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ควรหลีกเลี่ยงการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ เข้ามาในห้องนอน
2. สวน: พื้นที่สีเขียวแห่งความสุข
หากคุณมีพื้นที่สวนที่บ้าน ลองจัดสวนให้สวยงามและน่ารื่นรมย์ ปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่คุณชื่นชอบ จัดมุมนั่งเล่นสบายๆ หรือสร้างบ่อน้ำเล็กๆ การใช้เวลาในสวนจะช่วยให้คุณใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผ่อนคลายความเครียด และเพิ่มความสุข
3. มุมอ่านหนังสือ: ที่หลบภัยจากโลกภายนอก
จัดมุมอ่านหนังสือที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว เลือกเก้าอี้ที่นั่งสบาย มีแสงสว่างเพียงพอ และจัดวางหนังสือที่คุณชื่นชอบไว้ใกล้มือ เมื่อคุณต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวาย เพียงแค่เดินเข้าไปในมุมอ่านหนังสือ แล้วเปิดหนังสือเล่มโปรด คุณก็จะรู้สึกสงบและผ่อนคลายขึ้นทันที
“จำกัดเวลาหน้าจอ”: วางแผนชีวิตให้สมดุล
1. แอปฯ ช่วยชีวิต: ควบคุมเวลาการใช้งาน
มีแอปพลิเคชันมากมายที่ช่วยให้คุณสามารถติดตามและจำกัดเวลาการใช้งานโทรศัพท์มือถือและ Social Media ได้ ลองดาวน์โหลดแอปฯ เหล่านี้มาใช้ แล้วตั้งเป้าหมายในการลดเวลาการใช้งานหน้าจออย่างค่อยเป็นค่อยไป
2. “No Phone Zone”: สร้างข้อตกลงกับตัวเอง
กำหนดช่วงเวลาหรือสถานที่ที่คุณจะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ เช่น ช่วงเวลาอาหาร ช่วงเวลาครอบครัว หรือห้องนอน การสร้างข้อตกลงกับตัวเองจะช่วยให้คุณมีสติในการใช้งานเทคโนโลยี และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาควบคุมชีวิตของคุณ
3. กิจกรรมทดแทน: หาอะไรทำเมื่ออยากแตะมือถือ
เมื่อคุณรู้สึกอยากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ลองหากิจกรรมอื่นๆ ทำแทน เช่น อ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน ออกไปเดินเล่น หรือทำงานอดิเรก การมีกิจกรรมทดแทนจะช่วยให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ และสามารถลดการใช้งานหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตารางเปรียบเทียบ: ข้อดี VS ข้อเสียของการ Unplugged Time Management
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ลดความเครียดและความวิตกกังวล | อาจพลาดข่าวสารสำคัญ |
เพิ่มสมาธิและความจำ | อาจขาดการติดต่อกับเพื่อนฝูง |
นอนหลับได้สนิทมากขึ้น | อาจรู้สึกเหงาหรือเบื่อ |
กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ | ต้องใช้ความตั้งใจและความอดทน |
เสริมสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง | อาจต้องปรับตัวเข้ากับไลฟ์สไตล์ใหม่ |
“ฟังเสียงจากภายใน”: ค้นหาความสุขที่แท้จริง
1. สังเกตตัวเอง: อะไรทำให้คุณมีความสุข?
ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างเงียบๆ แล้วสังเกตว่าอะไรทำให้คุณมีความสุข อะไรทำให้คุณรู้สึกดี อะไรทำให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา เมื่อคุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ คุณก็จะสามารถจัดสรรเวลาและพลังงานให้กับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม
2. ทำในสิ่งที่รัก: เติมเต็มชีวิตด้วยความสุข
หากคุณมีสิ่งที่รักหรือสิ่งที่อยากทำ ลองหาเวลาทำสิ่งเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรี การวาดรูป การทำอาหาร หรือการเดินทาง การทำในสิ่งที่รักจะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขและเติมเต็มชีวิต
3. ให้เวลากับตัวเอง: ดูแลใจให้แข็งแรง
อย่าลืมให้เวลากับตัวเองในการดูแลสุขภาพจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ การอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ การดูแลใจให้แข็งแรงจะช่วยให้คุณมีความสุขและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ข้อคิดส่งท้าย: การ Unplugged Time Management ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละขั้น ที่สำคัญคือต้องมีความตั้งใจและความอดทน เชื่อมั่นได้เลยว่าถ้าคุณลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ คุณจะพบกับชีวิตที่ดี๊ดีที่ห่างไกลจากหน้าจออย่างแน่นอนค่ะ!
บทสรุปส่งท้าย
การพักผ่อนจากหน้าจอไม่ได้หมายความว่าต้องตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตจริงและโลกดิจิทัล ลองเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วคุณจะพบว่าชีวิตที่ปราศจากหน้าจอสามารถเติมเต็มความสุขและความหมายให้คุณได้อย่างแท้จริง ลองเปิดใจให้กับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่รอคุณอยู่ แล้วคุณจะค้นพบโลกที่กว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็น
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
1. แอปพลิเคชันแนะนำ: Forest (ปลูกต้นไม้เมื่อไม่เล่นมือถือ), Freedom (บล็อกเว็บไซต์และแอปฯ ที่ทำให้เสียสมาธิ), Digital Detox (ติดตามและจำกัดเวลาการใช้งาน)
2. สถานที่แนะนำ: สวนสาธารณะ, วัดวาอาราม, พิพิธภัณฑ์, หอศิลป์, ตลาดน้ำ (สถานที่ที่ทำให้คุณได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและธรรมชาติ)
3. กิจกรรมกลุ่ม: เข้าร่วมชมรมกีฬา, กลุ่มอ่านหนังสือ, กลุ่มอาสาสมัคร, คอร์สเรียนศิลปะ (กิจกรรมที่ทำให้คุณได้พบปะผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกัน)
4. เครื่องมือช่วยลดแสงสีฟ้า: แว่นกรองแสงสีฟ้า, ฟิลเตอร์กรองแสงสีฟ้าสำหรับหน้าจอ, โหมดถนอมสายตาในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
5. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: เว็บไซต์และหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง, การดูแลสุขภาพจิต, การใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ
ข้อควรรู้
– กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการพักผ่อนจากหน้าจอ
– สร้างตารางเวลาและวางแผนกิจกรรมทดแทน
– ขอความร่วมมือจากคนรอบข้างในการสนับสนุน
– ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ
– อย่าท้อแท้หากพลาดเป้าหมายบ้าง ให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: Unplugged Time Management เหมาะกับใคร?
ตอบ: เหมาะสำหรับทุกคนที่รู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป และต้องการหาเวลาพักผ่อน ลดความเครียด และสร้างสมดุลให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน หรือผู้สูงอายุ ก็สามารถนำ Unplugged Time Management ไปปรับใช้ได้หมดค่ะ
ถาม: จะเริ่ม Unplugged Time Management ได้อย่างไร?
ตอบ: เริ่มจากง่ายๆ เลยค่ะ ลองกำหนดเวลา Unplugged สั้นๆ สัก 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงต่อวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ หาพื้นที่ในบ้านที่เป็น “พื้นที่ปลอดเทคโนโลยี” และหากิจกรรมที่ชอบทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าจอ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร หรือออกกำลังกาย ที่สำคัญคือต้องใจแข็งและมีวินัยในการทำตามแผนที่วางไว้นะคะ!
ถาม: มีข้อเสียของการ Unplugged Time Management ไหม?
ตอบ: จริงๆ แล้วแทบไม่มีข้อเสียเลยค่ะ แต่บางครั้งอาจทำให้พลาดข่าวสารสำคัญ หรือติดต่อกับเพื่อนฝูงได้ช้าลง ดังนั้นจึงควรแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบล่วงหน้าว่าเรากำลัง Unplugged และกำหนดเวลาที่แน่นอนในการกลับมาเช็คข้อความต่างๆ เพื่อไม่ให้พลาดเรื่องสำคัญค่ะ นอกจากนี้การ Unplugged มากเกินไปอาจทำให้รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวได้ ดังนั้นควรหาความสมดุลที่เหมาะสมกับตัวเองค่ะ
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과